ความหมายระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล
หรือสื่ออื่นๆ
ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ
เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง
เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host)
และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)ระบบเครือข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อการติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ
ประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์หนึ่งเครือข่ายจะมีการทำงานรวมกันเป็นกลุ่ม
ที่เรียกว่า กลุ่มงาน (workgroup)แต่เมื่อเชื่อมโยงหลายๆ
กลุ่มงานเข้าด้วยกัน ก็
จะเป็นเครือข่ายขององค์กร
และถ้าเชื่อมโยงระหว่างองค์กรผ่านเครือข่ายแวน ก็จะได้เครือข่ายขนาดใหญ่
การประยุกต์ใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างกว้างขวาง
และสามารถใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งนี้เพราะระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ทำให้เกิด
การเชื่อมโยงอุปกรณ์ต่างๆ เข้าด้วยกัน และสื่อสารข้อมูลระหว่างกันได้
ประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
มีดังนี้
1. การใช้อุปกรณ์ร่วมกัน
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้ใช้
สามารถใช้อุปกรณ์ รอบข้างที่ต่อพ่วงกับระบบคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เช่นเครื่องพิมพ์ ดิสก์
ไดร์ฟ ซีดีรอม สแกนเนอร์ เป็นต้น ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
ไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ที่มีราคาแพง เชื่อมต่อพ่วงให้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง
2. การใช้โปรแกรมและข้อมูลร่วมกันได้
การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นเครือข่าย
ทั้งประเภทเครือข่าย LAN , MAN และ WAN ทำให้คอมพิวเตอร์
สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลระยะไได้
โดยใช้ซอฟต์แวร์ประยุกต์ทางด้านการติดต่อสื่อสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
มีการให้บริการต่าง ๆ มากมาย เช่น การโอนย้ายไฟล์ข้อมูล
การใช้จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail) การ
สืบค้นข้อมูล
(Serach Engine) เป็นต้น
3. ความประหยัด
ตัวอย่างเช่นในสำนักงานแห่งหนึ่งมีเครื่องคอมพิวเตอร์
จำนวน 30 เครื่อง หรือมากกว่านี้ ถ้าไม่มีการ
นำระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาใช้
จะเห็นว่าต้องใช้เครื่องพิมพ์อย่างน้อย 5 - 10 เครื่อง มาใช้งาน แต่ถ้ามี
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แล้วสามารถใช้เครื่องพิมพ์ประมาณ
2-3 เครื่องก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว เพราะว่า
ทุกเครื่องสามารถใช้งานเครื่องพิมพ์เครื่องใดก็ได้ที่อยู่ในระบบเครือข่ายเดียวกัน
4.
สามารถประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจได้
องค์กรธุรกิจที่มีการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์
กับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อประโยชน์ทางธุรกิจ เช่น
เครือข่ายของธุรกิจธนาคาร ธุรกิจ
การบิน ธุรกิจประกันภัย ธุรกิจการท่องเที่ยว
ธุรกิจหลักทรัพย์ สามารถดำเนินธุรกิจ ได้อย่างรวดเร็ว ตอบสนองความพึงพอใจ ให้แก่ลูกค้าในปัจจุบัน
เช่น
การสั่งซื้อสินค้า การจ่ายเงินผ่านระบบธนาคารเป็นต้น
5. ความเชื่อถือได้ของระบบงาน
นับเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการดำเนินธุรกิจ
ถ้าทำงานได้เร็วแต่ขาดความน่าเชื่อถือก็ถือว่า ไม่มีประสิทธิภาพ
ดังนั้นเมื่อนำระบบเครือข่าย
คอมพิวเตอร์มาใช้งาน จะทำให้ระบบงานมีประสิทธิภาพ
มีความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพราะในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เราสามารถทำการสำรอง
ข้อมูลไว้ เมื่อเครื่องที่ใช้งานเกิดมีปัญหา ก็สามารถนำข้อมูลที่มีการสำรองมาใช้ได้
อย่างทันที
3.ประเภทของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครือข่ายสามารถจำแนกออกได้หลายประเภทแล้วแต่เกณฑ์ที่ใช้
เช่น ขนาด ลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
โดยทั่วไปการ
จำแนกประเภทของเครือข่ายมีอยู่ 3 วิธีคือ
2.
ใช้ลักษณะหน้าที่การทำงานของคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้เป็น 2
ประเภทดังนี้
2.1 Peer-to-Peer Network หรือเครือข่ายแบบเท่าเทียม
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน
โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ละเครื่อง จะสามารถแบ่งทรัพยากรต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นไฟล์หรือ
เครื่องพิมพ์ซึ่งกันและกันภายในเครือข่ายได้
เครื่องแต่ละเครื่องจะทำงานในลักษณะที่ทัดเทียมกัน
ไม่มีเครื่องใดเครื่องเครื่องหนึ่งเป็นเครื่องหลักเหมือน
แบบ Client
/ Server แต่ก็ยังคงคุณสมบัติพื้นฐานของระบบเครือข่ายไว้เหมือนเดิม
2.2 Client-Server Network หรือเครือข่ายแบบผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ
เป็นระบบที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องมีฐานะการทำงานที่เหมือน
ๆ กัน เท่าเทียมกันภายในระบบ เครือข่าย แต่จะมีเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่อง
หนึ่ง
ที่ทำหน้าที่เป็นเครื่อง Server ที่ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรต่าง ๆ ให้กับ
เครื่อง Client หรือเครื่องที่ขอใช้บริการ
ซึ่งอาจจะต้องเป็นเครื่องที่มี
ประสิทธิภาพที่ค่อนข้างสูง
ถึงจะทำให้การให้บริการมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
3.
ใช้ระดับความปลอดภัยของข้อมูลเป็นเกณฑ์
การแบ่งประเภทเครือข่ายตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล
ซึ่งจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทคือ อินเทอร์เน็ต (Internet)
อินทราเน็ต (Intranet)
และ เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet)
3.1 อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะ
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก
ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกปี
อินเทอร์เน็ต
มีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน
และผู้ใช้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค นอกจากนี้
ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง
ๆ ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้ อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ
เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย
หน่วยงานของรัฐบาล
หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล
3.2 อินทราเน็ต (Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล
ตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต
อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ, อีเมล์, FTP เป็นต้น
อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล
TCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต
ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท
ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต
แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้น
สำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น
การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้น
3.3 เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) หรือเครือข่ายร่วม
เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet)
เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ตคือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสอง
องค์กร
ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือบริษัท
การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี
แต่จะยาก
ตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน
เช่น
องค์กรหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหนึ่ง
ล็อกอินเข้าระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่
เป็นต้น
4.รูปแบบการเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1.
แบบดาว (StarTopology)
เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องจะต่อผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า
ฮับ ( Hub ) ซึ่งเป็นจุดกลางในการติดต่อ
เป็นเครือข่ายที่ได้รับ
ความนิยมมากในปัจจุบันเพราะติดตั้งและ ดูแลรักษาระบบง่าย
ราคาวัสดุอุปกรณ์ก็ไม่แพง ข้อดีคือ
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งมีปัญหา
จะไม่ส่งผลกระทบต่อเครื่องอื่นๆ ในเครือข่าย ข้อเสีย ถ้า Hub เสียจะใช้งานไม่ได้ทั้งระบบ
ใช้สายสัญญาณติดตั้งมากกว่าแบบอื่น
2. แบบวงแหวน (Ring Topology)
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเชื่อมต่อกันเป็นลักษณะแบบวงแหวน
ข้อดี คือ สามารถเชื่อมได้ระยะทางที่ไกลกว่าแบบอื่นๆ ข้อเสีย
คือ
ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ในเครือข่ายมีปัญหา จะทำให้ระบบหยุดการทำงาน
3. แบบบัส (Bus
Topology)
เป็นการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องต่อเชื่อมอยู่บนสายสัญญาณเดียวกัน
เป็นการเชื่อมต่อสายแบบเส้นตรง จากเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องแรก
แล้วโยงสายไปยังเครื่องที่ 2 3 ... ตามลำดับในลักษณะการต่อแบบอนุกรม
การเชื่อมแบบนี้ทำได้ง่าย แต่มีข้อเสีย คือ ถ้ามีปัญหาที่สายสัญญาณ
เส้นใดเส้นหนึ่ง
จะส่งผลกระทบต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบเครือข่าย
4. แบบผสมผสาน (Hybrid)
เป็นการเชื่อมต่อที่เอาแบบดาว
แบบวงแหวนและแบบบัส มาผสมผสานกัน
เพื่อลดจุด
อ่อนและเพิ่มจุดเด่นให้กับระบบเครือข่าย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น