คำนำ

สวัสดีครับผู้เยี่ยมชมทุกท่าน...บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู ภาคเรียนที่ 1/2557สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง .....เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน(blended learning)เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้ผู้เรียนสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับการศึกษาค้นคว้าเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียนปกติ นอกจากนี้ยังเป็นทางหนึ่งในการส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบประโยชน์และคุณค่าของ "ทางสายกลาง"โดยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง...

คำอธิบายรายวิชา

คำอธิบายรายวิชา

..........ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี สารสนเทศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เช่น ไมโครซอฟท์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารข้อมูล ระบบเน็ตเวิร์ค ระบบซอฟท์แวร์ การจัดการทรัพยากรสารสนเทศ เครื่องมือการเข้าถึงสารสนเทศ ทักษะการเข้าถึงสารสนเทศ ฐานข้อมูลสารสนเทศ ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์และการอ้างอิง ฝึกปฏิบัติการ สามารถใช้คอมพวิเตอร์ขั้นพื้นฐานและเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้อย่าง เหมาะสมได้


วัตถุประสงค์ในรายวิชา
........เมื่อผู้เรียนศึกษาเนื้อหาบทเรียนจบแล้วตามหลักสูตรแล้วจะมีพฤติกรรมหรือความสามารถดังนี้
1. อธิบายความหมาย ความสำคัญ และองค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศได้
2. อธิบายความสัมพันธ์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้
3. ยกตัวอย่างเทคโนดลยีสารสนเทศและการสื่อสารในชีวิตจริงได้
4. อธิบายความหมายและความสำคัญของวิธีระบบได้
5. อธิบายความสัมพันธ์ของวิธีระบบกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้
6. บอกความหมายและองค์ประสกอบสำคัญๆของคอมพิวเตอร์ได้
7. อธิบายหน้าที่ขององค์ประกอบของคอมพิวเตอร์ได้
8. บอกประเภทและคุณสมบัติของซอฟท์แวร์แต่ละประเภทได้
9. บอกความหมายและความสำคัญของอินเตอร์เน็ตได้
10. บอกความสัมพันธ์ของเครือขายคอมพิวเตอร์และเครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้
11. อธิบายแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายได้
12. อธิบายวิธีประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการศึกษาได้
13. ยกตัวอย่างโปรแกรมต่าง ๆ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนได้
14. สร้างสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนการสอนได้
15. นำเสนอสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศทั้งที่เป็นสื่อทั่วไปและสื่อระบบเครือข่ายได้


เนื้อหาบทเรียน
หน่วยการเรียนที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ
หน่วยการเรียนที่ 2 ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หน่วยการเรียนที่ 3 คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 4 ซอฟต์แวร์
หน่วยการเรียนที่ 5 ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน่วยการเรียนที่ 6 อินเตอร์เน็ต
หน่วยการเรียนที่ 7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน
หน่วยการเรียนที่ 8 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการนำเสนอผลงาน
รูปแบบของกระบวนการเรียนการสอน
วิธีสอน : เป็นการเรียนการสอนแบบผสมผสาน (Blended Learning)
เนื้อหาบทเรียน : เนื้อหาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู
เครื่องมือกำกับการเรียนรู้ : ความซื่อสัตย์(integrity) กิจกรรมการเรียนการสอน
การบรรยายประกอบสื่อในชั้นเรียนปกติ (traditional classroom)
การศึกษาค้นคว้าด้วยสื่อออนไลน์หรือเว็บบล็อก
การสรุปและนำเสนอในชั้นเรียนด้วยสื่อ ICT
การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
การสรุปเป็นรายงาน
การทดสอบเพื่อวัดและประเมินผล

หน่วยที่ 7

หน่วยที่7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับการเรียนการสอน

1. แหล่งข้อมูลของประเทศไทยบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์

            เครือข่ายอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายที่มีคอมพิวเตอร์แม่ข่าย  ที่ติดตั้งอยู่ทั่วโลกเชื่อมโยงกันจำนวนมาก  เครื่องแม่ข่ายแต่ละเครื่องมีข้อมูลข่าวสารบางอย่างบางประเภทบรรจุอยู่  เช่น  ถ้าเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทผลิตรถยนต์  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่างๆ ของบริษัทนั้นข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการต่างๆ  จากบริษัท  และอาจมีข้อมูลประเภทความรู้ที่เกี่ยวข้อง  เช่น ประวัติความเป็นมาและพัฒนาการของยานยนต์  เทคโนโลยีใหม่ๆ  เกี่ยวกับยานยนต์  มลพิษจากไอเสียของรถยนต์และวิธีบำบัดป้องกัน  วิธีการขับรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ  เป็นต้น  หากเป็นเครื่องแม่ข่ายของบริษัทของบริษัทท่องเที่ยว  ก็จะมีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ  ข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทาง  ข้อมูลเกี่ยวกับการขออนุญาตเข้าประเทศต่างๆ  เพื่อการท่องเที่ยว ตลอดจนเรื่องราวเกี่ยวกับวัฒนธรรมและภาษา  ของประเทศนั้นๆ  เป็นต้น  ปัจจุบันนี้  ข้อมูลต่างๆ  เหล่านี้อยู่ในรูปแบบของเอกสาร  ที่มีการเชื่องโยงกันภายใต้มาตรฐาน   World Wide Web (หรือ  เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า  http  Hypertext  Transfer  Protocol)  เราเรียกแหล่งข้อมูล  แต่ละแห่งเหล่านี้  ว่า  เป็น เว็บไซต์  (Web Site)  ซึ่งแปลว่าแหล่งข้อมูลในระบบ  World Wide Web  นั่นเอง

ประเทศไทยเราก็ได้มีการจัดตั้งเว็บไซต์ขึ้นเป็นจำนวนมาก   ทั้งของภาครัฐและของภาคเอกชน  ในที่นี้จะได้กล่าวถึงเว็บไซต์ที่คิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับนักศึกษา โดยจะแยกกล่าวเป็นแต่ละประเภทของข้อมูลหลักในเว็บไซต์นั้นๆ

· เว็บไซต์ประเภท Portal หรือ Gateway หรือชุมทาง


             ที่กล่าวถึงเว็บไซต์ประเภทนี้เป็นประเภทแรก  เพราะเป็นประเภทที่มีประโยชน์มาก  เวลาที่เราไม่แน่ใจว่าจะหาข้อมูลประเภทที่ต้องการได้จากแหล่งใด  หากเราเข้าไปที่เว็บไซต์ประเภทนี้ จะพบว่าในเว็บไซต์ได้ทำจุดเชื่อโยงไปยังเว็บไซต์อื่น  โดยจัดแบ่งเป็นประเภทไว้  ทำให้เราสามารถหาแหล่งข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายขึ้น  คล้ายกับการค้นหาหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองนั่นเอง  เว็บไซต์ชุมทางที่สำคัญในประเทศไทย  คือ http://www.nectec.or.th 


                                                      ภาพแสดง ของเว็บไซต์ nectec
2.เว็บไซต์ประเภทของการศึกษา
              เว็บไซต์การศึกษาในประเทศไทย  มีจำนวนมากทั้งของสถานบันอุดมศึกษา  และของโรงเรียนต่างๆ  เว็บไซต์ที่อาจถือได้ว่าเป็นเว็บไซต์ชุมทางประเภทการศึกษา   ได้แก่

           -   เว็บไซต์โครงการ   SchoolInet  @  1509  (http://www.school.net.th)  เป็นเว็บไซต์ชุมทางสำหรับเว็บไซต์ต่างๆ  ที่เป็นสมาชิกโครงการ  SchoolINet  และที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา


           -  เว็บไซต์ LearnOnline  (http://www.learn.in.th)  ของสถาบันบัณฑิตวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย  (Thailand  Graduate I nstitute  of  Science  and  Technology  TGIST)   เป็นเว็บไซต์สำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เน้นสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  ในทุกระดับการศึกษา  และมีทำเนียบเชื่อมโยงไปสู่เว็บไซต์อื่น  ที่ให้บริการในลักษณะเดียวกัน


                                                   ภาพแสดง ของเว็บไซต์ SchoolNet 


เว็บไซต์ประเภทวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
        
         -  เว็บไซต์ของ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. (http://www.nstda.or.th)   เป็นเว็บไซต์หลักสำหรับสารสนเทศ  ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีการเชื่อมโยง  ไปยังเว็บไซต์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  เช่น   เว็บไซต์ของศูนย์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ทั้งสาม ได้แก่ http://www.nectec.or.th http://www.mtec.or.th   http://www.biotec.or.th  และ  เว็บไซต์ของหน่วยงานอื่นๆ  ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

เว็บไซต์ประเภทท้องถิ่น


              เว็บไซต์ประเภทนี้กำลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว  เว็บไซต์ชุมทางของประเภทนี้  ได้แก่ http://www.thaitambon.com  ซึ่งเป็นที่รวบรวมเว็บไซต์ของตำบลต่างๆ  ทั่วประเทศไทย  เพื่อสนับสนุนโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์นอกจากนี้จังหวัดใหญ่ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวก็มักจะมีเว็บไซต์ของจังหวัด และสถานบันการศึกษาทั้งระดับอุดมศึกษาและระดับโรงเรียน  ก็มักจะบรรจุข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นไว้ในเว็บไซต์ของสถานบันด้วย


                                               ภาพแสดง  ของเว็บไซต์ Thaitambon

เว็บไซต์ประเภทพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์


            พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  (e - Commerce)  หมายถึง  การทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับการค้าขายผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์  โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต  ขณะนี้การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก  ทั้งการค้าปลีกหรือค้าส่ง  การซื้อขายสินค้าหรือบริการ  ในยุคโลกาภิวัตน์นี้  ทำให้ประเทศไทยสามารถค้าขาขายกับต่างประเทศได้ถึงในระดับผู้ค้าปลีก ทั้งนี้เราต้องพยายามเพิ่มขีดความสามารถ  ในการแข่งขันทางการค้าด้วยพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยจะต้องเรียนให้รู้และทำให้เป็น เว็บไซต์ http://www.ecommerce.or.th  ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์  นับว่าเป็นเว็บไซต์ทางการที่มีหน้าที่เผยแพร่ความรู้เกี่ยวพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถหาดูได้จากเว็บไซต์บางแห่งของภาครัฐและภาคเอกชน  เช่น  http://www.moc .go.th  ของกระทรวงพาณิชย์ และ http://www.depthai.go.th ของกรมส่งเสริมการส่งออกส่วน  http://www.thaitrad epoint.com 


เว็บไซต์ประเภทศิลปวัฒนธรรม


           เว็บไซต์วัฒนธรรมไทย  http://www.culture.go.th  ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ จัดว่าเป็นเว็บไซต์หลักในเว็บไซต์ประเภทนี้ นอกจากนี้ ข้อมูล  ด้านศิลปวัฒนธรรม  มักจะมีปรากฏอยู่บ้างตามเว็บไซต์ของสถานบันอุดมศึกษาต่างๆ  และของภาคเอกชนที่เกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยว



 3. ห้องสมุดบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Digital Library)

           Digital Library (ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์)  หมายถึง  การจัดเก็บสารสนเทศในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์  แทนที่จะจัดเก็บในรูปของสื่อพิมพ์  ขณะนี้ได้เริ่มมีการใช้วิธีการเช่นนี้แล้ว  แต่คงต้องรออีกนานทีเดียวกว่าที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์จะสามารถแทนที่ห้องสมุดแบบดั้งเดิม หรือ แม้แต่เพียงจะสามารถมีบทบาทเทียบเคียง กับห้องสมุดแบบดั้งเดิม 
         รูปแบบของเอกสารที่จัดเก็บและให้บริการในห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น  ขณะนี้ยังถือว่าอยู่ในช่วงต้นของการพัฒนา  ซึ่งจะยังมีการเปลี่ยนแปลงไปได้  แม้ว่าจะเริ่มมีการวางมาตรฐานกันบ้างแล้วก็ตาม รูปแบบที่ได้รับการกล่าวขานกันมากที่สุดขณะนี้  คือ  อีบุ๊ค  (E-book)  หรือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์  กับ  อีเจอร์นัล  (E-journal) หรือ วารสารอิเล็กทรอนิกส์  และ  อีแมกกาซีน (E-magazine)  หรือนิตยสารอิเล็กทรอนิกส์  ความได้เปรียบของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้เหนือ  สื่อสิ่งพิมพ์หลายประการ 

                                                 ภาพแสดง ของเว็บไซต์ Payap Library

        ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ต่างกับห้องธรรมดาตรงที่ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์  ไม่จำเป็นต้องมีอาคารสถานที่  เพียงแต่มี  คอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Sever)  สำหรับเก็บข้อมูล  มีเครือข่าย (Network)  ต่อเชื่อมไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ลูกข่าย  (Clients)  ที่ให้บริการ ซึ่งอาจกระจายอยู่ตราที่ต่างๆ  ก็ได้  เครือข่ายนั้นจะเป็นเครือข่ายส่วนตัว  Private  Network  หรือ  Intranet) ที่ใช้ภายในองค์กรก็ได้  หรือจะเป็นเครือข่ายสาธารณะ   เช่น   อินเทอร์เน็ต



4.การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

              ใช้วิธีการ  ที่เรียกว่า เซิร์จเอ็นจิน  (Search engine)  ซึ่งเป็นโปรแกรมค้นหาข้อมูลอัตโนมัติ  การค้นหาทำได้โดยการพิมพ์  คำสำคัญ  หรือ  คีย์เวิร์ด  (Key Word)  เข้าไปในช่องที่กำหนด  แล้วคลิกที่ปุ่ม  SEARCH  หรือ  GO  โปรแกรมค้นหาจะเริ่มทำงาน  การแสดงผลการค้นหาจะแสดงชื่อเว็บไซต์  URL  และมักจะแสดงสาระสังเขปของเว็บไซต์นั้นๆ  ด้วย  เพื่อช่วยให้ผู้คนหา สามารถตัดสินใจในเบื้องต้น ว่าเว็บไซต์นั้นมีข้อมูลที่ต้องการหรือไม่ เนื่องจากอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลจำเป็นจำนวนมาก  บางครั้งเซิร์จเอ็นจิน  จะพบข้อมูลข้อมูลนับพันนับหมื่นรายการ  ซึ่งทำให้เสียเวลากลั่นกรองหาข้อมูลที่ต้องการจริงๆ  เซิร์จเอ็นจิน  บางตัวจะมีระบบค้นหาที่ละเอียดขึ้น เรียกว่า  แอดวานซ์เชิร์จ  (Advanced search  หรือ  Refined search)  โดยให้ผู้ค้นหาสามารถระบุเงื่อนไขได้  เช่น  หากจะค้นหาโดย ใช่คีย์เวิร์ด  “e-commerce”  อาจจะค้นพบเป็นหมื่นรายการ  แต่ถ้าคีย์เวิร์ด  “e-commerce  in  Thailand”  อาจค้นพบเป็นร้อย  และถ้าใช้คีย์เวิร์ด  “e-commerce  in  Thailand  AND  NOT  handicraft”  ก็อาจค้นพบน้อยลงเหลือไม่กี่รายก็เป็นได้  วิถีการดังกล่าว  เรียกว่าการ  การกรอง  (Filter)  ซึ่งอาศัยการตั้งเงื่อนไขเชื่อมโยงกันด้วยคำที่เป็น  Boolean Operators  ได้แก่  คำว่า  AND, OR, NOT ทำให้มีผลเท่ากับการเลือกเงื่อนไขแบบใช่ทั้งหมด  ใช้บางส่วนหรือไม่ใช้บางเงื่อนไข  วิธีจะพบโปรแกรมค้นหาส่วนมาก  ผู้แต่งใช้โปรแกรมค้นหาหลายโปรแกรมอาจสับสน  เพราะแต่ละโปรแกรมจะมีวิธีการกำหนดการกำหนดให้พิมพ์เงื่อนไขต่างกัน  เช่น  บางโปรแกรมให้ใช้เครื่องหมายบวก (+)  แทน  AND  แต่บางโปรแกรมอาจใช้เครื่องหมายเดียวกันแทน  OR  เป็นต้น  ผู้ใช้จึงต้องศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแต่ละโปรแกรม

โปรแกรมค้นหาที่นิยมใช้กันมาก   เพราะเพาะมีความสามรถสูงนั้น  มีอยู่ตามเว็บไซต์  ต่อไปนี้
                     http://www.google.com    http://www.altavista.com 
                      http://www.excite.com     http://www.yahoo.com      เป็นต้น

           สำหรับโปรแกรมค้นหาภาษาไทยนั้นเริ่มมีใช่บางแล้ว  แต่ประสิทธิภาพยังไม่สูงนักเนื่องจากความลำบากในการแยกคำในภาษาไทย  ซึ่งเขียนต่อกันโดยไมมีการเว้นวรรคคั่น  เป็นคำๆ แบบภาษาอังกฤษ และอีกประการหนึ่ง  เนื่องจากข้อมูลทางภาษาไทยบนเว็บไซต์ยังมีจำนวนน้อย   เซิร์จเอ็นจิน  ภาษาไทยมีอยู่ในเว็บไซต์  ต่อไปนี้
 http://www.google.co.th/     http://www.siamguru.com    http://www.hotsearch.bdg.co.th   เป็นต้น


คำแนะนำในการใช้ Google
1.  การค้นหาแบบง่าย

ให้พิมพ์คำที่เกี่ยวข้อง  กับสิ่งที่ต้องการค้นหาเพียง  2 - 3  คำ  ลงไป   แล้วกดแป้น   Enter   หรือคลิกที่ปุ่ม  Go  บนหน้าจอ  Google ก็จะแสดงเว็บเพจที่ค้นพบ  โปรแกรมค้นหาของ  Google จะแสดงเฉพาะเว็บเพจที่มีคำทุกคำที่ท่านได้พิมพ์ลงไป  ดังนั้น ถ้ายิ่งใส่จำนวนคำลงไปมาก จำนวนเว็บเพจที่ค้นพบจะยิ่งลดจำนวนลง  เพราะเป็นการค้นหาที่มีเงื่อนไขมากขึ้นนั้นเอง

2.  ข้อควรทราบเกี่ยวกับหลักการทำงานของ Google เพื่อการค้นหาชั้นสูง
            1.  อักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กตัวใหญ่มีผลไม่ต่างกัน  โดย Google  จะถือว่าอักษรตัวเล็ก (Lower case)  ทั้งหมด
             2.  คำว่า  and  มีอยู่แล้วโดยปริยาย  เฉพาะ Google  จะหาเฉพาะเว็บเพจ  ที่มีคำครบทุกคำ  จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้  and  เพื่อเชื่อมระหว่างคำหลัก  แต่ลำดับก่อนหลังของคำหลักจะให้ผลที่แตกต่างกัน
           3.  คำสามัญประเภท  a,  an,  the,  where,  how  จะถูกตัดทิ้งโดยอัตโนมัติ  รวมทั้งตัวอักขระโดดๆ  เพราะคำพวกนี้ทำให้การค้นหาช้าลง  และไม่ช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นแต่อย่างใด  ในกรณีที่ต้องการให้ใช้คำสามัญคำใดในการค้นหาด้วย จะต้องนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายบวก  ( + )  เช่น  “Standard  and  Poor”  ในกรณีหลังนี้  โปรแกรมค้นหาจะค้นหา  ตามวลีที่อยู่ภายในเครื่องหมายคำพูด
             4.   การกำหนดเงื่อนไขไม่ใช่คำบางคำในการค้นหา โดยนำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมายลบ  ( – )  เช่น ต้องการหาเว็บเพจที่เกี่ยวกับ e-Commerce Thailand – handicraft
             5.  การกำหนดให้ใช้คำที่มีความหมายคล้ายกัน  (Synonym)  ด้วย  ให้นำหน้าคำนั้นด้วยเครื่องหมาย  tilde
             6.   การเลือกคำหลักมีข้อแนะนำ   ดังต่อไปนี้
           -  ลองใช้คำตรงๆ  ก่อน  เช่น  ถ้าท่านต้องการหาข้อมูลเกี่ยวกับ  Picasso  ก็ให้ใส่คำว่า Picasso  ลงไป
           -   แทนที่จะใช้คำว่า  painters
             -   ใช้คำที่คิดว่าน่าจะมีอยู่ในเว็บไซต์ที่ต้องการหา  เช่น  Jumbo  Jet  ในเว็บไซต์ ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องบินโดยสาร  เป็นต้น
            -  ทำให้คำหลักมีความเจาะจงมากที่สุดที่จะเป็นไปได้  เช่น   Antiquelead   soldier  จะดีกว่า  old metal toys
           7.  รูปคำต่างกัน ที่มากจากรากศัพท์เดียวกันจะได้รับพิจารณาโดยอัตโนมัติ  เช่น  diet  กับ dietary
           8.  การค้นหาตามหมวดสาขา  ( Category )  ในกรณีที่คำหลักมีความหมายได้หลายอย่าง และท่านไม่แน่จ่าจะทำให้เจาะจงอย่างไร  ให้เข้าไปที่  Directory  ของ  Google  ซึ่งอยู่ที่ directory แต่ถ้าท่านต้องการข้อมูลเกี่ยวกับรถยนต์  ยี่ห้อ  Saturn  ท่านจะใช้คำหลักเดียวกันนี้ค้นภายใต้   Automotive category
            9.  Google  มีหน้าเว็บพิเศษ  สำหรับช่วยให้สามารถทำการค้นหาชั้นสูงได้ง่าย  ขึ้นโดยผู้ใช้ไม่ต้องจดจำวิธีการพิมพ์เงื่อนไข  แต่ใช้วิธีเลือกพิมพ์ข้อความลงไปในช่องที่เหมาะสมแทน  ซึ่งสามารถค้นหาเป็นภาษาไทยได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น